SAPPHIRE HD2900GT

ทักทายสาวกค่ายสีแดง ATI ในวันนี้กับเรื่องราวของกราฟฟิกการ์ดอีกครั้งครับ ซึ่งนาย...อั๊ยซ์... ก็ได้หยิบเอาการ์ดหนึ่งตัว มารีวิวให้ได้ชมกัน กับความคุ้มค่าตามรหัสของคำว่า GT ที่กำลังเป็นที่กล่าวถึงอย่างพอสมควร เพราะมันออกมาแบบเงียบๆ เรียกได้ว่า ไม่มีใครคาดคิดแน่นอนครับ ว่าการ์ดในรุ่นนี้ รหัสนี้ จะออกมาสู่ท้องตลาดได้ แต่มันก็เป็นไปแล้วครับ กับ Sapphire HD2900GT ซึ่งแน่นอน ว่ารหัสของคำว่า GT จากทางค่าย ATI นั้นเป็นรหัสแห่งความคุ้มค่า คุ้มราคาอีกเช่นเคยแน่นอน เดี๋ยวเราไปดูกันดีกว่าครับ ว่าการ์ด HD2900GT ตัวนี้ จะให้อะไรกับเราได้เพียงใด กับ Sapphire Radeon HD2900GT 256MB GDDR3 Card Details : Sapphire HD2900GT 256MB
เอาล่ะครับ ตัวการ์ดมีขนาดเท่ากับ ATI HD2900XT รวมไปถึงฮีตซิงค์ และพัดลมด้วยเลย แต่ที่เห็นชัดเจนจากตรงนี้นั้น ก็จะเป็นส่วนของ ปลั๊กไฟเลี้ยง 8พิน ที่เหลือเพียงปลั๊กเดียวแล้ว ไม่ได้มีปลั๊ก 6พินมาคู่กันด้วย กับการ์ดในรุ่น HD2900GT ตัวนี้ .. ด้านหลังการ์ด จากที่เคยเห็นว่ามีเม็ดแรมเพิ่มมาด้านหลังด้วย ก็ตัดออกไป 1ชุดครับ จึงทำให้ขนาดของ Memory เหลือ เพียง 256MB เท่านั้นครับ .. ต่างจาก ATI HD2900XT และ 2900PRO ที่มีทั้งตัวที่เป็น 1024MB และ 512MB ครับ .. ถึงแม้ตัวการ์ดจะถูกตัดอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ออกไปบ้าง แต่ดูแล้ว ไม่อาจจะก่อให้เกิดปัญหาใดๆในการใช้งาน ยกเว้น เพียงแต่ว่า ประสิทธิภาพ และความสามารถของการ์ดในรุ่น HD2900GT ตัวนี้ จำเป็นต้องลดทอนลงไปจากการ์ดรุ่นพี่ HD2900XT อย่างแน่นอนครับ ซึ่งในวันนี้ เราจะได้เห็นกันครับ ว่าประสิทธิภาพของ HD2900GT ตัวนี้จะสามารถ ทำได้ดีแค่ไหนกัน !! Orther Details : Sapphire HD2900GT 256MB
Label ที่ติดอยู่ด้านหลังของตัวการ์ด บ่งบอกเอาไว้อย่างชัดเจนครับ ว่าการ์ดตัวนี้เป็นรุ่น HD2900GT 256M แน่นอน หายสงสัย และหายข้องใจกันไปได้เลยครับ ว่าการ์ดในรุ่น 2900GT นั้นมีจริงหรือไม่ ( จะไม่มีได้ไง วางกันจะๆ อยู่ตรงนี้ ) และอีกจุด ตรงนี้ กับปลั๊กไฟเลี้ยงที่เหลือเพียงปลั๊ก 8พิน เพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น โดยที่ตัดปลั๊ก 6พินออกไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งนั่นก็พอจะบอกได้เลยว่า การ์ด HD2900GT ตัวนี้ กินไฟน้อยลงจากการ์ด HD2900XT พอสมควรครับ .. รายละเอียดทางเทคนิคของการ์ด HD2900GT ก็ถูกลดเสป็คลงมาจาก HD2900XT อยู่พอสมควรครับ ไม่ว่าจะเป็น ความเร็วของ Core และ Memory หรือขนาดของหน่วยความจำก็ตาม ซึ่ง HD2900GT นั้นมีความเร็วอยู่ที่ 600/1600MHz หน่วยความจำ และความกว้างของ Bus Width ก็อยู่ที่ 256MB / 256Bits Inside : Sapphire HD2900GT 256MB
ตัวการ์ดเดี่ยวๆหลังจากถอดฮีตซิงค์ออกไปแล้วนั้น ค่อนข้างที่จะโล่งครับ ซึ่งเม็ดแรมก็มีเพียงแค่ 8เม็ด อยู่ทางด้านหน้า ทั้งหมดครับ ไม่ได้แบ่งเอาไว้ด้านหลังการ์ดแต่อย่างใด และเม็ดแรมเอง ก็เป็นเม็ดแรมจาก Hynix FP-11 มีอัตราการเข้าถึงข้อมูลอยู่ที่ 1.1 nS ทำความเร็วตามเสป็คได้จริงที่ 910 ( 1820MHz ) กันเลยทีเดียว ซึ่งเม็ดแรมรหัสนี้ อยู่ในการ์ด HD2900PRO เช่นกัน .. เหลือบไปมองทางด้านตัว GPU กันครับ น่าแปลกใจสุดๆกับคอร์ R600 ตัวนี้ ที่ไม่มีการลงรหัสไว้บนตัว GPU กันเลย .. เล่นปล่อยเอาไว้โล่งๆอย่างนี้เลยครับ ดูแล้วก็น่าแปลกใจเหลือเชื่อครับ ( คอร์โล่ง )
Package & Accessories Bundle : Sapphire HD2900GT 256MB
: Conclusion : เรียบร้อยกันไปครับ กับบทสอบของกราฟฟิกการ์ดตัวที่ถูกกล่าวถึงมากในตอนนี้ อย่าง Sapphire HD2900GT ครับ .. ซึ่งผลทดสอบก็พอจะบอกได้ชัดเจน ว่ารหัสของ GT จากทางค่าย ATI นั้นยังคงเป็นรหัสแห่งความคุ้มค่าอยู่เช่นเดิม โดยที่ตัวผมเอง ก็ทราบราคามาคร่าวๆว่า อยู่ในช่วง 6000 - 7000 เท่านั้นเอง แถมยังได้การ์ด R600 มาเล่นขำๆด้วย ถึงแม้ว่าขนาดของ Memory จะให้มาเพียงแค่ 256MB แต่ว่าเหมาะสมกับราคาพอสมควร สำหรับคอเกมส์ที่ไม่เน้นเล่นเกมส์บ้าพลัง และใช้ความละเอียดที่สูงมาก จนเกินไป การ์ดตัวนี้ ก็น่าสนใจไม่น้อยครับ

บทความนี้ทำขึ้นเพื่อส่งงานในรายวิชา 0012006 อินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน เท่านั้น

credit : www.overzoneclock.com

 

RaZER Naga HEX

RaZER Naga HEX Expert Moba/Action-RPG Gaming Mouse
สวัสดีชาวโอเวอร์คล็อคโซนทุกท่านครับ เป็นอีกวันที่มีโปรดักส์เกมมิ่งมารีวิวให้ได้ชมกัน สำหรับวันนี้ก็เป็นเม้าส์เกมมิ่งตัวใหม่ล่าสุด จากทาง RaZer ในตระกูล Naga โดยมีชื่อเต็มว่า Naga Hex (Hex แปลว่าหกเหลี่ยม) เกมเมอร์หลายท่านคงจะเคยเห็นเม้าส์ ตระกูล Naga กันมาหลายรุ่นแล้ว จุดเด่นที่เห็นได้ชัดและเป็นเอกลักษณ์ของเม้าส์ตระกูลนี้คือปุ่ม Hot Buttons ด้านข้าง บริเวณ นิ้วโป้งแต่ละรุ่นก็ออกแบบ จัดวางจำนวนปุ่มมาแตกต่างกันในรุ่นนี้ก็มีปุ่มดังกล่าวด้วยเช่นกัน ซึ่งมีมาให้ทั้งหมด 6 ปุ่ม ตามคอนเซป 6 เหลี่ยม 6 มุม ของ Naga Hex นั่นเองครับ.. สำหรับ Naga Hex เป็นเม้าส์ในรุะดับกลางๆ(ระดับที่ II หรือเรียกว่า Ecpert) ของทาง RaZer รูปทรงและดีไซน์ออกแบบมาให้ดูทันสมัยด้วยสีสันที่สะดุดตาโทนสีเขียวตามแบบฉบับของ RaZer พร้อมด้วย โปรแกรมควบคุมการทำงานที่เป็นตัวใหม่ใช้ชื่อว่า Razer Synapse 2.0 สามารถควบคุมอุปกรณ์หลายๆตัวของ RaZer ได้ ด้วยโปรแกรมเดียว เอาเป็นว่าเราไปชมหน้าตาของเม้าส์ระดับเมพ RaZER Naga HEX กันเลยดีกว่าครับ... ! Package & Bundled
แพ็คเกจแบบ eco Package กล่องกระดาษสีดำตัดกับสีเขียว
ถ้าสังเกตดูโปรดักส์ใหม่ๆของ RaZer จะเก็นว่าด้านข้างของกล่องจะระบุระดับของอุปกรณ์เอาไว้ โดยเจ้า RaZER Naga HEX ตัวนี้อยู่ในระดับที่ 2 หรือระดับ II Expert นั่นเองครับ
อุปกรณ์ที่มีมาให้ในกล่อง ก็เยอะแยะมากมายเหลือเกิน ได้แก่ คู่มือการใช้งาน คำแนะนำ ใบเซอฯ สติกเกอร์โลโก้ RaZer และปุ่มยางเสริม Design
RaZER Naga HEX เป็นเม้าส์แบบมีสายตามแบบฉบับเกมเมอร์ตัวจริงที่นิยมกัน ความยาวของสายยาวถึง 7 ฟุตเลยทีเดียว ถักหุ้มด้วยใยผ้าร่มที่มีความทนทานสูง - เคลือบทองไว้ที่หัว USB Por ป้องกันสนิมไว้แล้วด้วยt
รูปแบบดีไซน์แบบ Ergonomic จับถนัดมือพร้อมที่พักนิ้วด้านขวา หน้ากากเคลือบสีหลายชั้นด้วยสีเม็ดทรายสามมิติเหมือนมีน้ำอยู่ข้างใน อะไรประมาณนั้น ปุ่มอเนกประสงค์ไว้สำหรับตั้งค่าใช้งานตามแต่ผู้ใช้งานกำหนด 2 ปุ่ม ข้างล่าง Scroll ลูกล้อ Scroll พร้อมปุ่มในตัว 1 ปุ่ม (ไม่มีปุ่มโยกซ้าย-ขวา) เสริมยางและบากร่องให้สามารถใช้งานได้ถนัดยิ่งขึ้น ด้านข้างของ Scroll มีไฟ LED Backlight สีเขียวส่องสว่างออกมาเมื่อใช้งาน ปุ่มในตำแหน่งสำหรับคลิกซ้ายและขวาเพิ่มช่องว่างไว้ระหว่างปุ่มกับบอดี้ให้สามารถดีดตัวได้เร็วยิ่งขึ้น
ด้านขาวมือของตัวเม้าส์มีที่พักนิ้วสำหรับคนมือใหญ่ (แต่บางทีมันก็เกะกะเหมือนกันนะ) ส่วนเว้าส่วนโค้งออกแบบมาได้ค่อนข้างดี Highlight
มาถึงจุดเด่นหลักของเม้าส์ตัวนี้กันแล้วครับ นั้นก็คือปุ่มหกเหลี่ยมทั้งหกปุ่มบริเวณนิ้วหัวแม่มือ (สำหรับคนถนัดขวานะ) เป็นปุ่มชนิด mechanical พร้อมฟังก์ชั่นแบบไม่ตายตัว 2 รูปแบบด้วยกัน
เจ้าฟังก์ชั่นตายตัวที่ว่านั้นต้องปรับตรงข้างใต้ของตัวเม้าส์เอาครับ จะอยู่บริเวณด้านขวาของ Sensor เป็นปุ่มเลื่อนขึ้น-ลงแบบในภาพ ถ้าเลือกแบบบน ปุ่ม 6 ปุ่มที่ว่าจะทำงานเหมือนกับเรากดเล่ข 1 ถึง 6 บริเวณซ้ายมือของคีย์บอร์ด (ปุ่ม !@#$%^) แต่ถ้าหากปรับเป็น แบบล่างปุ่มทั้ง 6 ก็จะใช้งานแทนปุ่มเลข 1 ถึง 6 ของ NumPad ขวามือนั่นเองครับ หรือถ้าเราอยากปรับให้เป็นปุ่มอื่นก็ปรับได้ ตามใจชอบเลย ด้วยโปรแกรม Razer Synapse 2.0 ไหนๆก็หงายเม้าส์แล้วขออธิบายดีไซน์ที่ละเอียดอ่อนเพิ่มนิดนึง นั่นคือแผ่นกัน ลื่นและเพิ่มความคล่องตัวในการเลื่อนเม้าสแผ่นดำๆทั้ง 5 แผ่นอย่างที่เห็นในภาพนั่นแหละครับ ทางผู้ออกแบบ (Get Imba) เค้าบอก ว่าจุดนี้สำคัญมากจริงๆในการเล่นเกมระดับเมพ ส่วน Serson ที่ใช้เป็นแบบ Laser รุ่น 3.5G ของทาง RaZer ครับผม... Conclusion! ก็เรียกได้ว่าจุใจกับรีวิวในวันนี้กันแล้วนะครับ เชื่อว่าหลายๆคนอยากจะออกไปซื้อมาใช้ตอนนี้เลยก็ว่าได้ แต่ขอบอกว่าตอนนี้มีเพียง 2 ตัว ในประเทศไทยเท่านั้น คาดว่าจะเปิดตัวและในมาวางจำหน่ายในไทยในเดือนเมษานี้ โดยราคาอยู่ที่ราวๆ 2500-3000 บาท เท่านั้นเอง มาพูดถึงการใช้งานกันดีกว่าครับ จริงๆแล้ว RaZER Naga HEX ออกแบบเพื่อเกมแนว Moba และ Action-RPG โดยเฉพาะ เพราะมีปุ่มลัด 6 ปุ่มให้ใช้งาน แต่มันก็เหมาะกับเกมอื่นๆด้วยตามแต่ผู้ใช้จะนำไปประยุกต์ เท่าที่ผมใช้งานมาถือว่า Naga HEX ใช้ งานได้ดีเยี่ยม การตอบสนองรวดเร็วไม่ติดขัด ใช้กับแผ่นรองเม้าส์ชนิดไหนก็ได้ไม่มีปัญหา ปุ่มลัดและชุดคำสั่งใช้งานได้รวดเร็วไม่เอ๋อ แต่ติดตรงที่อุณหภูมิของตัวเม้าส์จะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อใช้งานนานๆ จนรู้สึกอุ่นๆที่มือ (เวลาผมเล่นเกมมักจะไม่เปิดแอร์หรือพัดลมเพราะมัน จะรบกวนสมาธิ จริงสังเกตถึงจุดนี้ได้) และอีกจุดนึงคือที่พัดนิ้วก้อย มันค่อนข้างเกะกะซะมากกว่า เวลาเล่นเกมชูทติ้งแล้วต้องสบัดเม้าส์ ถ้าไม่แคร์ในจุดนี้ก็คงแล้วไป... ช่วงนี้ก็ปิดเทอมแล้วแบ่งเวลาเล่นเกมกับเวลาเรียนและเวลาทำงานให้ลงตัวนะครับ ผมเองก็เริ่มหาเกมมา ยัดใส่เครื่องฉลองปิดเทอมรอแล้วหละครับ เรื่องอุปกรณ์อาจไม่สำคัญเท่ากับฝีมือ เพราะฉนั้นอย่ายึดติดกับแค่อุปกรณ์ครับ ^ ^ อิอิ 55 สำหรับวันนี้ผมเองก็ต้องขอตัวลาไปก่อนแล้ว คงขุกกับ Naga HEX อีกซักพักใหญ่ๆ แล้วไว้พบกันใหม่บทความหน้า สวัสดีครับ.....!

บทความนี้ทำขึ้นเพื่อส่งงานในรายวิชา 0012006 อินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน เท่านั้น

credit : www.overzoneclock.com

 

Thermaltake Silver River 5G

Thermaltake Silver River 5G
กราบสวัสดีชาวโอเวอร์คล๊อกโซนกันอีกเช่นเคยครับ ช่วงนี้อากาศก็ร้อนกันเหลือเกินยังไงจะทำอะไร ก็ต้องใจเย็นลงบ้างอย่าไปร้อนกันตามอากาศของช่วงนี้ครับ วันนี้ผมก็นำ Harddisk Enclosure USB3.0 จาก Thermaltake มาแนะนำและรีวิวประสิทธิภาพให้ได้รับชมกัน โดย Harddisk Enclosure ของ Tt ตัวนี้ก็มีชื่อ โมเดลเท่ห์ๆว่า Silver River 5G ซึ่งจากชื่อโมเดลนั้นก็เป็นที่สื่อให้ทราบอย่างชัดเจนว่ามันเป็นอินเตอร์เฟสการ เชื่อมต่อหลักคือ USB Super Speed หรือ USB 3.0 5GB/s ที่ช่วงเวลานี้เมนบอร์ดและคอมพิวเตอร์วางตักใน ยุค 2012 ก็จะมี USB3.0 มาให้ได้ใช้งานกันเป็นส่วนมากแล้ว ถึงแม้จะยังไม่ใช่มาตรฐานหลักก็ตามครับ Package & Bundled
รูปแบบแพ็คที่เออ......ความรู้สึกว่าจะเป็นสไตล์ของทาง TT เค้าอีกเช่นเคย ของในกล่องจะมีคู่มือการติดตั้งและรายละเอียด การรับประกัน ส่วนสาย USB 3.0 ,หม้อแปลงไฟ และน๊อตยึด ฮาร์ดดิส์ที่มีมาให้ตามมาตรฐานครับ แต่ที่ผมชอบมากคือในชุด จะมีไขควงมาให้ใช้งานอย่างเรียบร้อย โดยไม่ต้องไปหามาใช้ Thermaltake Silver River 5G
ภายนอกตัวกล่องใส่ฮาร์ดดิสก์ถ้าพูดแบบเป็นกลางๆกันเลยนะครับ มันก็ดูแล้วไม่ได้ต่างอะไรกับกล่องใส่ฮาร์ดดิสก์ ขนาด 3.5 นิ้ว ยี่ห้ออื่นอะไรซักซักเท่าไรครับ แต่ถ้ามองดีๆแล้ว Silver River 5G ได้เลือกใช้วัสดูอลูมิเนียมชุบสี อโนไดซ์สีดำมาสวยงามพร้อมกับการเล่นลายตัดขอบให้เป็นแบบลักษณะของเพชร ที่ทำให้ดูไม่เรียบมากเกินไปที่ ยังให้ความรู้สึกสวยงามที่ดูโดดเด่นที่แตกต่างได้ดีครับ
หน้าหน้าแถบขาวๆเป็นไฟ LED แสดงผลการทำงาน
ไฟ LED สีขาวที่แสดงผลการทำงานของฮาร์ดดิสก์ข้างใน
ที่ด้านหลังจะมีสวิทเปิดปิดการทำงานที่ติดอยู่กับช่องเชื่อมต่อหม้อแปลงไฟเลี้ยง ขวาสุดไม่มีก็คงเป็น Harddisk Enclosure USB3.0 อย่างแน่นอน เพราะมันคือพอร์ตสำหรับการเชื่อมต่อสาย USB3.0 ที่เป็นแบบมาตรฐาน
การติดตั้งฮาร์ดดิสก์นั้นต้องทำการขันน๊อตยึดที่ตัว Harddisk Enclosure ออกมาก่อน
ชิพ USB 3.0 จากทาง asmedia ที่ช่วงหลังมาแรงแซงท้างโค้งกันแบบใครๆก็หลีกทางให้เค้าเลย
หม้่อแปลงไฟที่ให้มาเป็นแบบหัวกลมสเป็ค ID ที่หัวจะเล็กกว่าสเป็ค EU เล็กน้อย ถ้าบ้านใครปลั๊กไม่ค่อยจะแน่นไปหาซื้อหัวแปลงมาใช้ดีกว่า แบบในภาพผมซื้อมา 10 บาท จากพันทิพย์ประตูน้ำ
การทดสอบในวันนี้ผมเลือกใช้ฮาร์ดดิสก์ WD1002FBYS โดยภาพรวมของ Thermaltake Silver River 5G ก็เป็น Harddisk Enclosure USB3.0 อีกตัวนึง ที่มีประสิทธิภาพเป็นไปตามมาตรฐานการเชื่อมต่อ USB 3.0 โดยการใช้งานกับฮาร์ดดิสก์จากแม่เหล็ก ซึ่งจุดของ ประสิทธิภาพกันแต่อย่างเดียวมันก็ไม่ได้มีความน่าสนใจอะไรนักหนา Thermaltake Silver River 5G ยังได้มี การใช้บอดี้ภายนอกจากวัสดุอลูมิเนียมที่จะคอยช่วยระบายความร้อนของฮาร์ดดิสก์ข้างในได้และยังรวมไปถึงความ แข็งแรงที่พอที่จะช่วยป้องกันฮาร์ดดิสก์จากแรงกระแทกได้ดีในระดับนึง แต่ถ้าทำตกจากโต๊ะสูงๆลงพื้นปูนแข็งๆก็ ตัวใครตัวมัน รวมไปถึงการใช้ฮาร์ดดิสก์ความร้อนสูงๆหลายๆชั่วโมงก็คงเย็นสู้แบบที่มีพัดลมไม่ได้ วันนี้ก็สรุปแต่ เพียงเท่านี้พอละกันครับ ขอตัวลากันเพียงเท่านี้

บทความนี้ทำขึ้นเพื่อส่งงานในรายวิชา 0012006 อินเตอร์เน็ตและการสื่อสารในชีวิตประจำวัน เท่านั้น

credit : www.overzoneclock.com